ลองมาดูตัวชี้วัดที่ผู้เทรดหลายคนใช้กันมากที่สุดเพื่อให้การซื้อขายประสบความสำเร็จ เพื่อให้เข้าใจวิธีการทำงานของตัวชี้วัดและข้อมูลที่ถูกใช้ สมควรที่จะต้องแบ่งประเภทของมันก่อน
ตัวชี้วัดแนวโน้ม (Trend indicators)
มันจะถูกใช้ในการกำหนดแนวโน้ม มันเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะการซื้อขายที่ประสบความสำเร็จหมายถึงการได้ติดตามแนวโน้ม ยกตัวอย่างเช่น หากแนวโน้มเป็นไปในทิศทางลง ก็มีเหตุผลที่จะเทรดโดยอาศัยสมมติฐานที่ว่าราคาจะลดลงไปในทิศทางเดียวกันด้วย ตัวชี้วัดดังต่อไปนี้ถูกใช้เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มของตลาดในปัจจุบัน
ตัวชี้วัด Bollinger
เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงมีประสิทธิภาพมาจนถึงทุกวันนี้ มันจะปรากฏให้เห็นบ่อยๆในกราฟราคาเป็นเส้นที่มีลักษณะขึ้นๆลงๆสามเส้น เมื่อราคาสูงกว่าเส้นบน นั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของแนวโน้มที่สูงขึ้น เมื่อราคาอยู่ต่ำกว่าเส้นล่าง มันกำลังส่งสัญญาณให้รู้ว่าความเคลื่อนไหวมีแนวโน้มที่จะไปในทิศทางลง ในเวลาที่ราคาอยู่ตรงกลางของกราฟ มันหมายถึง “ตลาดแบนราบ” โดยปกติในสถานการณ์นี้ผู้เทรดส่วนใหญ่ (ยกเว้นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเทรดใน ”ตลาดแบนราบ”) จะไม่เปิดการซื้อขายและรอจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง
ตัวชี้วัด MACD
ตัวชี้วัดนี้สามารถมองเห็นในกราฟได้เป็นสองรูปแบบด้วยกัน คือ เป็นตัวชี้วัด MACD เอง และ MACD แบบฮิสโตแกรม (เป็นกราฟที่แสดงถึงค่าของความถี่หรือการกระจายของข้อมูล) โดยปกติ MACD จะถูกวางไว้ในกราฟด้วยตัวของมันเองและดูคล้ายกับตัวชี้วัด Bollinger ส่วนMACD แบบฮิสโตแกรมนั้นเป็นกราฟที่แยกออกมาต่างหากประกอบไปด้วยเส้นแนวตั้งซึ่งมีความยาวแตกต่างกันวางอยู่บนเส้นแนวนอนและสรุปแนวโน้มบางอย่างออกมา ถ้าเส้นแนวตั้งอยู่เหนือเส้นแนวนอนหมายความว่าแนวโน้มมีทิศทางสูงขึ้น แต่ถ้าหากเส้นแนวตั้งอยู่ต่ำกว่าเส้นแนวนอนแสดงว่าแนวโน้มมีทิศทางลง ความยาวของเส้นเป็นตัวที่บ่งบอกถึงพลังของแนวโน้ม ยิ่งเส้นยาวมากเท่าไหร่ แนวโน้มก็ยิ่งมีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ตัวชี้วัดนี้มีประสิทธิภาพสำหรับไทม์เฟรมที่นานกว่าและมีแนวโน้มที่จะเกิดข้อผิดพลาดเมื่อใช้กับไทม์เฟรมห้านาที นี่คือสิ่งที่คุณควรจำใส่ใจไว้ ถ้าคุณต้องการใช้ MACD แบบฮิสโตแกรมในการทำงานของคุณ
ตัวชี้วัด Ichimoku
ในตอนแรกตัวชี้วัดนี้มีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็มีความแม่นยำมากที่สุด โครงสร้างของ Ichimoku ประกอบไปด้วยเส้น 5 เส้นซึ่งเมื่อไขว้กันจะบ่งบอกสัญญาณต่างๆได้ สัญญาณที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ “crossings” (Golden cross กับ Dead cross) ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น Tenkan และ Kijun ไขว้กัน ช่องว่างระหว่าง Chinkou A และ Chinkou B ถูกเรียกว่า “Cloud” นอกจากนี้โดยหลักแล้วตัวชี้วัดนี้จะถูกสร้างขึ้นในกราฟบ่อยๆ ดังนั้นเมื่อเส้นของกราฟตรงกับเส้นของตัวชี้วัด มันก็สามารถบอกแนวโน้มได้ นอกจากนี้ Ichimoku คือตัวเลือกที่ “ตรวจสอบตัวเอง” หมายความว่าถ้ามีหลายเส้นแสดงสัญญาณเดียวกัน แค่นี้ก็มีเหตุผลที่จะซื้อตัวเลือกบางอย่างแล้ว โดยปกติตัวชี้วัดนี้มักจะใช้กับไทม์เฟรมใหญ่กว่าเพราะงานหลักของตัวชี้วัดแนวโน้มนั้นก็เพื่อชี้ให้เห็นถึงแนวโน้ม ยิ่งมีแนวโน้มมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายที่จะทำให้งานประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น
Oscillators
ตัวชี้วัดประเภทนี้เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่ไม่ค่อยมีแนวโน้มมากนักในตลาด ในความเป็นจริงผู้เทรดไบนารี่ออปชั่นทำเงินได้จากการซื้อขาย “ภายในช่องสัญญาณ” มากกว่าผู้เทรดอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น ผู้เทรดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ (Forex) มักจะคิดว่าราคาจะเปลี่ยนไปกี่จุดเพื่อที่เขาจะได้ทำกำไร ข้อมูลนี้ไม่สำคัญสำหรับผู้เทรดไบนารี่ออปชั่น เพื่อที่จะทำกำไรเขาแค่รู้ว่าราคาจะเปลี่ยนไป 2 หรือ 3 จุด ขึ้นหรือลงเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ซึ่งตรงนี้เป็นข้อมูลที่เขาจะได้รับจากการใช้ oscillators
Stochastic
ตัวชี้วัดนี้ได้รับความนิยมเสมอมา เมื่อพิจารณาว่า Stochastic ถูกใช้ในการทำงานในโหมด “ช่องสัญญาณ” ตัวชี้วัดนี้จะปรากฏเป็นช่องสัญญาณเหมือนกับมันมีสองเส้น คือ เส้นบนและเส้นล่าง เมื่อเส้นหยักขึ้นไปสูงกว่าเส้นบนในกราฟ หมายความว่าตลาดเป็น “overbought” (ซื้อมากเกินไป) และมันมีแนวโน้มว่าราคาจะลดลง แต่เมื่อเส้นหยักข้ามผ่านเส้นล่าง หมายความว่าตลาดเป็น “oversold” (ขายมากเกินไป) และมันมีแนวโน้มว่าราคาจะสูงขึ้น
โปรดจำไว้ว่าข้อความข้างต้นนั้นเป็นจริงเฉพาะตอนที่ไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนในตลาด เราขอแนะนำให้ติดตามทิศทางของ Stochastic ร่วมกับตัวชี้วัดแนวโน้มที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น
ตัวชี้วัด Momentum
ตัวชี้วัดตัวนี้ดีสำหรับใช้ใน price channel ตัวชี้วัด Momentum สามารถคาดการณ์สถานการณ์ตลาดในอนาคตและแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของราคาในอนาคต ตัวชี้วัดทำงานโดยตั้งอยู่บนหลักการต่อไปนี้คือ มันจะเปรียบเทียบราคาปัจจุบันกับราคาในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ทันทีที่การเปรียบเทียบเสร็จสิ้น ผู้เทรดสามารถรับสัญญาณจากตัวชี้วัดได้ ในการทำงานกับตัวชี้วัดนี้ คุณควรดูความเคลื่อนไหวของเส้นตัวชี้วัดและทิศทางที่มันเคลื่อนไหว หากเส้นตัวชี้วัดขึ้นสูงหมายความว่าคุณควรซื้อ แต่ถ้าเส้นลดลงหมายความว่าคุณควรขาย
ตัวชี้วัด Momentum ส่งสัญญาณบอกถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าสู่ตลาด มันจะได้กำไรมากกว่าที่จะขายในจุดที่สูงที่สุดและซื้อในจุดที่ต่ำที่สุด ตัวชี้วัดนี้ทำให้นึกถึง Stochastic แต่คนส่วนใหญ่เลือกใช้ Momentum มากกว่า เพราะมันมีตัวอย่างประกอบและมีความสะดวกในการใช้มากกว่านั่นเอง